วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2025

ธำรงวินัย : ทนายสิทธิฯ บอกเล่าเรื่องราวของสามีที่ถูก “ทำโทษ” 9 เดือนเพียงเพราะอยากเป็นตำรวจต่อ

ตำีวจ

ที่มาของภาพ, Getty Images

“ไม่น่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วมั้ง” ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ทนายความสังกัดศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวกับบีบีซีไทย

เธอไม่ได้พูดถึงสถานการณ์การเมืองในฐานะ “ทนายแจม” อย่างที่นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายคนรู้จักกันดี แต่กำลังพูดถึงความเสี่ยงในฐานะ “ภรรยา” ที่ตัดสินใจออกมาบอกเล่าเรื่องราวของคู่ชีวิตและพ่อของลูกเธอ

สามีของศศินันท์เป็นหนึ่งในตำรวจ 97 นาย ที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดประเด็นว่าถูก “ธำรงวินัย” เพราะปฏิเสธที่จะถูกโอนย้ายไปเป็น “ข้าราชบริพาร”

“นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเป็นชั่วโมงเลย” ศศินันท์เล่าถึงตอนได้ฟังรังสิมันต์อภิปรายประเด็นนี้ในสภา “ได้มีคนรู้สักทีว่ามันมีเรื่องบ้า ๆ นี้เกิดขึ้น เราอยากพูดมานาน ไม่ใช่พูดไม่ได้ แต่มันไม่มีใครฟัง”

นี่เป็นประเด็นใหญ่ไม่แพ้เรื่องของ “ตั๋วช้าง” ที่ว่าด้วยการแทรกแซงแต่งตั้งตำรวจ ทำให้สังคมออกมาตั้งคำถามว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ “ตำรวจราบในพระองค์” คืออะไร และใช้กระบวนการและกฎหมายอะไรในการโยกย้ายตำรวจหลายร้อยนายจากที่สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปเป็น “ข้าราชบริพาร”

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 19 ก.พ. นายรังสิมันต์ได้นำเสนอ “เอกสารชั้นต้น” ต่าง ๆ ที่มีตั้งแต่หนังสือจากสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ เมื่อเดือน ม.ค. 2562 ซึ่งลงนามโดย พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องที่กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์จะคัดเลือกนายตำรวจมาบรรจุลงในกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904

ที่มาของภาพ, Thai news pix

ส.ส.พรรคก้าวไกลผู้นี้ เสนอข้อมูลต่อว่า หลังจากคัดเลือกได้ตำรวจ 1,319 นาย จากเคยสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับมีหนังสือภายใน สตช.ในช่วงปลาย ก.ย. 2562 ให้ผู้ผ่านการฝึก 873 คน ไป “ช่วยราชการในหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยในพระองค์” โดยเข้าฝึกหลักสูตร “ตำรวจราบในพระองค์”

บีบีซีไทยไม่สามารถพิสูจน์และยืนยันเอกสารของรังสิมันต์ ได้ แต่ข้อมูลทั้งหมดสอดคล้องกับคำบอกเล่าจากศศินันท์ เธอเล่าว่า กระบวนการคัดเลือกก่อนจะได้นายตำรวจกว่า 1,300 นาย ทำโดยละเอียด “ไม่สูง ไม่เตี้ย ไม่อ้วน แล้วก็ไม่ใส่แว่นตา แล้วก็นับถือศาสนาพุทธ ขาไม่โก่ง หลังไม่โก่ง…”

ที่มาของภาพ, พรรคก้าวไกล

คำบรรยายภาพ,

เอกสารประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งพรรคก้าวไกลนำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก

เธอเล่าว่า สามีและเพื่อนตำรวจเริ่มตั้งคำถามเมื่อคนที่มาอบรมผู้ผ่านการคัดเลือกกว่า 800 คนกลับเป็นทหาร และมีกระบวนการจิตวิทยาทำให้คนกลัว “คนที่ยกมือ ที่พูดคนแรกว่าจะสละสิทธิ์ เขาสั่งให้ถอดเสื้อตำรวจออกเลย แล้วก็บอกว่า มึงเอายศออกมา มึงเป็นคนธรรมดาแล้ว ไม่มียศแล้ว แล้วก็ให้คลานเข่า”

หลังจากมีคำสั่งให้ไปรายการตัวรอบสุดท้ายก่อนเข้ารับการฝึก สามีของศศินันท์ตัดสินใจยื่นหนังสือพยายามให้เหตุผลว่าไม่สะดวก มีภาระทั้งครอบครัวและหนี้สิน และก็อยากสังกัดตำรวจต่อไป “แต่ปรากฏว่าก็ไม่ได้มีการรับฟัง …ตอนแรกเขาจะลาออก ทำหนังสือลาออก ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าเซ็นให้ออก”

หลังจากนั้น สามีเธอกลายเป็นหนึ่งในตำรวจ 100 นาย (ต่อมามี 3 นายที่ลาออกไป) ที่ถูกส่งตัวไป “ฝึกธำรงวินัย” ที่ จ.ยะลา 1 เดือน และที่ จ.นครราชสีมา อีก 8 เดือน

ที่มาของภาพ, Thai news pix

บีบีซีไทยพยายามสอบถามไปยัง พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น โดยถามในทุกประเด็นตามที่พรรคก้าวไกลได้นำเสนอ แต่ อดีต ผบ.ตร. ผู้นี้ได้ตอบเพียงสั้น ๆ ทางข้อความโทรศัพท์มือถือว่า “ผมเกษียณอายุราชการแล้ว คงไม่จำเป็นที่จะไปตอบโต้ใครทั้งนั้นแหละครับ”

ในประเด็นนี้ พล.อ. ประยุทธ์ได้ชี้แจงหลังที่รังสิมันต์อภิปรายว่า มีการแต่งตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า “ตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” ซึ่งจัดตั้งมาเพื่อถวายงานใกล้ชิด เรื่องการถวายความปลอดภัยและถวายพระเกียรติ จึงต้องมีการคัดเลือก คัดสรรและสอบถามทัศนคติตำรวจที่จะถูกปรับโอนไปปฏิบัติงานเหล่านี้ ถ้าไม่ผ่าน ไม่เหมาะสม ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม ไม่มีการลงโทษอย่างใดทั้งสิ้น

“อยากจะเป็นตำรวจต่อ”

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ,

(ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ)

ตลอดเวลา 1 เดือนที่ยะลา ศศินันท์เล่าว่า การฝึกประกอบไปด้วยการให้เดินป่า ไม่ให้อาบน้ำ ให้ออกตรวจพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงสูง “กดดันทุกวิถีทาง …เขาจะพูดอยู่ตลอดว่าถ้าใครไม่ไหวกลับไปก็ยังทัน กลับไปเข้ารับการฝึก[หลักสูตรตำรวจราบในพระองค์] เพื่อให้ทุกคนยอม คือไม่ลาออกก็ต้องกลับ ยอมโอนย้ายตามระเบียบ”

“มันเป็นวิธีการสู้ในวิถีทางของเขา สู้เพื่ออยากจะเป็นตำรวจต่อ” ศศินันท์เล่าถึงการตัดสินใจของสามี “เขาบอกว่าเขาคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นอะไรนอกจากตำรวจ เขาก็รู้สึกว่าถ้าเขายอมลาออก โดยที่เขายังไม่ได้ลองสู้ในวิธีของเขาก่อน มันจะติดค้างใจไปตลอดชีวิต”

ขณะที่ศศินันท์ต้องรับภาระงานที่หนักไปตามกระแสการเคลื่อนไหวทางการเมือง สามีเธอเคยรับหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นหลัก “ตั้งแต่ลูกเกิด ล้างก้น อาบน้ำ ป้อนข้าว เขาทำทุกอย่างเลย

แต่การถูกธำรงวินัยหมายความว่า สามีเธอต้องพลาดช่วงสำคัญ ๆ ในชีวิตลูกไป “ไม่ได้เห็นตอนที่ลูกเริ่มหัดเดิน เริ่มโต ตอนที่เขาเข้าไป ลูกยังไม่คลานเลย พอเขาออกมาลูกพูดเก่งแล้ว วิ่งแล้ว”

ที่มาของภาพ, พรรคก้าวไกล

คำบรรยายภาพ,

เอกสารประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งพรรคก้าวไกลนำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก

“เป็นห่วง ทำใจทุกวัน ไม่อยากดูหนังสือพิมพ์ เวลามีระเบิด เราก็กลัวไปหมด จุดที่ระเบิดมันเป็นจุดที่แฟนเราอยู่หรือเปล่า เราไม่รุ้เลยว่าเขาอยุ่ตรงไหน เขาทำอะไร” ศศินันท์เล่าถึงช่วงที่สามีไปอยู่ยะลา เธอเล่าต่ออีกว่าคนที่มาคุมฝึกจะมีทัศนคติด้านลบกับตำรวจกลุ่มนี้ “ว่าเป็นพวกไม่จงรักภักดี พวกหนีคำสั่ง เป็นพวกแบบเลวร้าย”

ศศินันท์บอกว่า ตลอดชีวิต เธอมักเป็นคนที่ควบคุมทุกอย่างได้เสมอ วางแผนระยะยาวว่า 3-5 ปี ว่าชีวิตตัวเองและครอบครัวจะไปอยู่​ ณ จุดไหน แต่เรื่องนี้ทำให้เธอเครียดจนนอนไม่หลับอยู่เป็นเดือน ๆ จนต้องไปหาจิตแพทย์ในที่สุด

ในฐานะทนายความ จากที่เคยเอากฎหมาย “ไปจับ” ปัญหาได้ แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับสามี เธอไม่รู้เลยว่า “วัตถุแห่งคดี” คืออะไร “ศาลปกครองไม่ได้ละ มันไม่เป็นคำสั่ง คำสั่งสิ้นผลไปแล้ว …ศาลรัฐธรรมนูญไหม [แต่]จะเอาหลักการอะไรไปจับล่ะ ก็ได้แค่เสรีภาพในการประกอบอาชีพเหรอ”

“ตำรวจเอง พอเจอกลุ่มแบบเนี้ย ที่ไม่ยอมไป เหมือนเขาก็กลัวกันนะว่าเรื่องจะไปถึงข้างบนหรือเปล่า ด้วยความที่การเอาคนมาธำรงวินัยมันไม่ได้อยู่ในหลักกฎหมายหรือระเบียบอะไร”

ศศินันท์ เล่าว่า เมื่อรู้ว่า “การเอาคนมาไว้อย่างนี้ไม่มีกฎหมายรองรับ เขาก็เลยสร้างหลักสูตรให้ฝึกไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ให้กลับบ้าน 9 เดือน” ไม่ว่าจะเป็น “การตั้งฐานปฏิบัติการชั่วคราว, “การขับเรือยางตั้งเครื่องยนต์ขั้นพื้นฐาน”, “เทคนิคการยิงปืนโดยไม่ใช้ศูนย์” ไปจนถึง “จักรยานยุทธวิธีและสายตรวจ” เป็นต้น

“พวกกระผมมีความรักในอาชีพตำรวจอย่างแท้จริง แม้จะถูกลงโทษให้เข้ารับการธำรงวินัยนานถึง 9 เดือน ก็ยอมรับแต่โดยดี ไม่ปริปาก เพียงแค่หวังว่าผู้บังคับบัญชาจะเห็นใจและให้โอกาส พวกกระผมมีความจงรักภักดีต่อสถาบันจากใจจริง เพียงแต่ความจำเป็นทางครอบครัวที่ทำให้ไม่พร้อมที่จะโอนย้ายไปยังหน่วยงานดังกล่าว….” คือข้อความส่วนหนึ่งจากจดหมาย “ขอความเมตตา” โดยตำรวจทั้ง 97 คน ที่ส่งไปยัง ผบ.ตร.

ที่มาของภาพ, พรรคก้าวไกล

คำบรรยายภาพ,

เอกสารประกอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งพรรคก้าวไกลนำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก

แต่หลังจากการฝึก 9 เดือนผ่านไป จากที่เคยเป็นนายตำรวจติดตามผู้บังคับบัญชา ศศินันท์บอกว่าสามีถูกย้ายไป “ดอง” อยู่ส่วนกลาง “ทำใจว่าคงจะไม่ได้ก้าวหน้าแล้ว คงได้เป็นตำรวจแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังได้เป็นตำรวจอยู่”

อย่างไรก็ดี ศศินันท์ก็ยังนับว่าตัวเองโชคดีกว่าครอบครัวตำรวจคนอื่น ๆ ในจำนวน 97 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นตำรวจระดับนายสิบ มีเงินเดือนแค่หลักพัน ปกติแล้ว พวกเขาเหล่านี้จะได้เงินเสริมจากการเข้าเวร ได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่ม แต่การถูกไปธำรงวินัยเท่ากับเงินที่ต้องนำไปใช้ดูแลครอบครัวตัวเองและญาติพี่น้องด้วยต้องหายไปโดยปริยาย

“แต่ละคนคือน่าสงสารมาก พวกแม่บ้านต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แล้วสามีไม่อยู่ …สภาพจิตใจแย่กันหมด บางคนที่กำลังตั้งท้อง วันที่คลอดต้องไปคลอดเอง ผัวไม่อยู่ วันที่ลูกคลอดก็ไม่ได้ออกไปเจอหน้าลูก”

สังคมแห่งการนิ่งเฉย

ศศินันท์บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า สังคมเรา “รู้อยู่แล้วว่าอะไรที่มันแย่ คนนี้ไม่ดี ระบบนี้มันห่วย มันแย่ แต่มันก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่นิ่งเฉยกับสิ่งนั้น เพียงแค่วันมันไม่ได้เกิดกับตัวเอง”

เธอบอกว่า ทุกคนต่างบอกกับเธอว่าสิ่งที่สามีเธอเผชิญเป็นเรื่องแย่ แต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ กลับไม่ไม่มีใครพูดอะไร

“ทำไมถึงยอมเห็นคนกลุ่มหนึ่งถูกกระทำอยู่อย่างนั้น ทุกคนรู้ว่ามันไม่เป็นธรรมกับเขา แต่ทุกคนก็ยังยอมอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครทำอะไรเพราะทุกคนกลัว”

ศศินันท์ยกประเด็นนี้เทียบกับประเด็นเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ทุกคนก็รู้ว่ามันแย่ …หลาย ๆ คนก็พูดกันลับหลังเยอะแยะมากมาย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร ไม่มีใครออกมามากพอ”

เธอบอกว่าสิ่งที่เหมือนกันในตัว อานนท์ นำภา ที่เธอเรียกว่าเป็น “ทนายพี่เลี้ยง” สอนงานเธอมาหลายปี, พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ซึ่งเป็นรุ่นน้องที่เธอสนิท และสามีเธอเอง คือการคิดไปไกลกว่าตัวเอง

ที่มาของภาพ, Thai News Pix

คำบรรยายภาพ,

(จากซ้ายไปขวา) พริษฐ์ อานนท์ และสมยศในวันที่อัยการนำตัวส่งฟ้องและต่อมาศาลไม่ให้ประกันตัว ทั้ง 3 คน รวมทั้งปฏิวัฒน์ หรือ “หมอลำแบงค์” รวมเป็น 4 คน จึงถูกส่งตัวเข้าเรือนจำตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ.

“ถ้าคนเราคิดแค่ตัวเอง ไม่ทำอะไรพวกนี้หรอก คิดว่าทำไป เดี๋ยวเมีย เดี๋ยวลูกลำบาก” ศศินันท์กล่าว “…แฟนแจมพูดว่าการที่เขายอมโดนธำรงวินัย ยอมขัดคำสั่ง เพราะเขาต้องการให้ไม่มีการคัดตัวแบบนี้อีก ไม่ให้รุ่นน้องเขาต้องมาอยู่ในความไม่มั่นคงแบบนี้อีก …เขาไม่ได้คิดแค่ว่าเมียและลูกจะลำบาก เขามองแค่ว่ามันจะเป็นผลดีกับตำรวจอีกหลายคนมาก ๆ ที่อาจจะต้องเจอแบบเขาในอนาคต”

ในทางเดียวกัน ตอนที่ศศินันท์เพิ่งมีลูก คนรอบตัวมักจะพูดว่า “ลาออกไปทำงานอื่นไหม ทนายความมันเสี่ยงถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าติดคุกขึ้นมา ลูกจะอยู่ยังไง” แต่เธอบอกว่า เธอมองไกลกว่านั้น มองถึงสังคมที่ลูกเธอจะต้องอยู่ในอนาคต

ศศินันท์บอกว่า 1-2 ปีที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เธอทำงานอยู่ “เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น” และเริ่มเห็นผลของสิ่งที่ทีมได้ลงแรงไป

“[ถ้าวันหนึ่งลูกมาถามว่า] ตอนที่เขาวุ่นวายกัน แม่ทำอะไรอยู่ เราอยากจะเป็นคนที่ลูกภูมิใจว่าในเวลาที่สังคมมันบ้าบอวุ่นวาย แม่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ช่วยให้โลกมันเปลี่ยแปลง”

ในบรรยากาศการเมืองที่คุกรุ่นและดูจะผลักให้คนสายอาชีพอย่างตำรวจและทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนไปอยู่ขั้วตรงข้ามกัน ศศินันท์บอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอและสามีคิดตรงกันมาตั้งแต่เขาสองคนเริ่มชอบกัน

“…เราจะสนับสนุนงานของกันและกันตลอด ไม่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องเสียตัวตน หรือเสียอุดมการณ์ในสิ่งที่ตัวเองทำ”

ยะลา

ยะลา

ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน

Related Posts

Next Post

บทความ แนะนำ

No Content Available

Welcome Back!

Login to your account below

Create New Account!

Fill the forms below to register

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.